วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

EQ .ของลูกสร้างได้ ง่ายจัง



EQ .ของลูกสร้างได้ ง่ายจัง
ความฉลาดของมนุษย์เรามีหลากหลายสาขา แต่เดิมนั้นเรามักให้ความสำคัญกับความฉลาดทางสติปัญญาและความคิดเท่านั้น แต่มีนักวิจัยมากมายที่กล่าวว่าความฉลาดของคนเรามีหลายด้าน อย่าง Howord Gardner (1993) ได้ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับความฉลาดที่หลากหลายนั้นว่า Multiple Intelligences Theory ซึ่งกล่าวถึงความฉลาดทั้ง 7 ด้าน ดังนี้
1. ด้านภาษา
2. ด้านตรรก-คณิตศาสตร์
3. ด้านมิติ
4. ด้านดนตรี
5. ด้านการเคลื่อนไหว
6.การรู้จักเข้าใจตนเอง
7.ความสัมพันธ์กับผู้อื่น
จะเห็นได้ว่าด้านที่ 6 และ 7 นั้นคือความฉลาดทางอารมณ์หรือ EQ นั่นเอง  ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) มีความสำคัญมาก ที่เด็กๆ จะได้รับการปลูกฝังและส่งเสริมจากผู้เป็นพ่อ แม่ ผู้เขียนเห็นว่า การที่จะช่วยให้เด็กคนหนึ่งมีความฉลาดทางอารมณ์นั้น เป็นการลงทุนอย่างหนึ่งพอๆกับการลงทุนให้ลูกเก่งด้านสติปัญญา  

EQ จริงๆ แล้วคืออะไร ?
ก่อนอื่นผู้เป็นพ่อ แม่ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า EQ มีองค์ประกอบอะไร บ้าง เพื่อที่จะได้ส่งเสริมความสามารถด้านนั้นๆแก่ลูกๆ กันต่อไปค่ะ
1. การรู้จักตนเอง
2. การจัดการกับอารมณ์ตนเองและผู้อื่นอย่างเหมาะสม
3.มีเอกลักษณ์ที่มั่นคง
4. มีความนับถือตนเอง
5. มีวินัย
6. มองโลกในแง่ดี
7. การจัดการกับความเครียดได้ดี
8. การแก้ปัญหาและตัดสินอย่างมีประสิทธิภาพ
9. มีเป้าหมายในชีวิต
10. มีแรงจูงใจ
11.มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
12. มีความเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น
13. แก้ไขความขัดแย้งอย่างมีประสิทธิภาพ
14. สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งหมดที่กล่าวมา โดยรวมหมายถึง เด็กๆ มี IQ ที่ดี  จะมีอารมณ์บวกที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ  เมื่ออ่านถึงตรงนี้แล้ว หลายท่านคงบอกว่า มีหลายข้อแบบนี้ จะไหวเหรอ  แต่ก็ไม่ยากเกินไปใช่มั้ยคะ เพราะผู้เขียนเห็นว่า EQ สร้างได้ง่ายกว่า IQ ค่ะเพราะ IQ มีตัวพันธุกรรมเป็นตัวกำหนดอยู่ ถ้าส่งเสริมดีๆ ก็อาจเพิ่มได้เล็กน้อย แต่ EQ สามารถเพิ่มได้มากกว่าค่ะนักวิชาการหลายๆ ท่านกล่าวไว้ว่า เด็กที่มี EQ สูงมีโอกาสประสบผลสำเร็จมากกว่าเด็กที่มีเฉพาะ IQ สูงเพียงอย่างเดียวค่ะ แต่ถ้าหากลูกของคุณมีทั้ง IQ และ EQ ที่สูงละก็ แน่นอนว่าความสำเร็จจะเกิดขึ้นแน่นนอนค่ะ

ช่วยลูกให้มีอารมณ์เชิงบวก ได้อย่างไร?
อารมณ์เชิงบวก ไม่ได้หมายถึง การที่ลูกหัวเราะตลอดเวลา ใจดีกับคนทุกคนสนุกสนานตลอดเวลาหรอกนะคะ แต่สิ่งที่เราต้องการให้เกิดอารมณ์บวกที่เหมาะสม นั่นหมายถึง ความมั่นคงในอารมณ์ กล้าหาญ หนักแน่น ไม่ขี้โมโห พร้อมทั้งเผชิญกับสิ่งเร้าต่างๆที่เข้ามาในชีวิตและจัดการได้อย่างเหมาะสมนั่นเอง
ก่อนอื่น พ่อ แม่ต้องใจเย็น รับฟังเรื่องที่ลูกกำลังจะบอกทั้งอารมณ์โกรธหรือเสียใจ  สอนให้ลูกเอาชนะความกลัวที่มีอยู่ ให้ลูกมองตนเองอย่างมีคุณค่า ให้เขารักตนเองก่อนและมีความรักให้แก่ผู้อื่นด้วย พ่อ แม่ต้องควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ได้ก่อนนะคะ เมื่อต้องเผชิญกับความเครียดต่างๆ หลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาทในครอบครัว ทำครอบครัวให้อบอุ่น สร้างบรรยากาศให้มีความสุขอยู่เสมอๆ เช่น การเล่น การเที่ยว การเล่านิทาน  เหนือสิ่งอื่นใด ขอให้พ่อ แม่ สนุกกับลูก ชื่นชมยินดีในตัวลูกตามเหมาะสม ให้กำลังใจแม้ผิดพลาด เหล่านี้ก็จะทำให้ลูกๆ ของคุณได้พัฒนา EQ ได้แล้วค่ะ

อ้างอิง
 อุมาพร ตรังคสมบัติ.  สร้าง EQ ให้ลูกคุณ. กรุงเทพฯ: บริษัทศูนย์วิจัยและพัฒนาครอบครัวจำกัด, 2544
20 คุณธรรมสำหรับเด็กดี Esteve Pujol I Pons  ,กัญญารัตน์ จิราสวัสดิ์ แปล. พิมพ์ครั้งที่ 5 .กรุงเทพฯ: พิมพ์ดี, 2551 

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Mind Map สำหรับเด็กอนุบาล


Mind Map คืออะไร ทำไมต้องใช้ Mind Map ?

ว่ากันว่า โทนี บูซาน (TonyBuzan) นักจิตวิทยาชาวอังกฤษ เป็นผู้คิดริเริ่ม นำเอาความรู้เรื่องสมองมาปรับใช้กับการเรียนรู้ของตนเองแล้วปรากฎว่าได้ผลดี ต่อมาได้รับความนิยมและมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน   Mind Map หรือแผนที่ความคิด เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพอย่างมากในการช่วยพัฒนาสมอง กระตุ้นความคิด ความจำในเรื่องต่างๆ ได้อย่างมีระบบ และมีความเชื่อมโยงที่จะทำให้เวลานึกถึงอะไรสักอย่างเด็กๆจะเห็นภาพรวมนั้นขึ้นมาทันที  และยังถือว่าเป็นรูปแบบการจดบันทึกแบบสร้างสรรค์ มีประสิทธิภาพ กล่าวคือการจดบันทึกด้วยวิธีนี้จะใช้รูปภาพ เส้น สี แทนการจดแบบเรียงตัวอักษรนั่นเอง

ประโยชน์ที่จะได้เมื่อลูกๆ ใช้ Mind Map ในการเรียนรู้

เมื่อเด็กๆ นึกถึงเรื่องที่สำคัญบางอย่าง การคิดของเด็กๆ ที่ยังอ่านเขียนไม่ได้นั้น จะเริ่มจากการคิดตาม แล้วนึกภาพเหล่านั้น ทำให้เด็กได้ใช้ความคิด จินตนาการ เชื่อมโยงสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังสนใจออกมาเป็นรูปภาพแทนตัวอักษร เมื่อมีสิ่งกระตุ้นให้คิดและแก้ปัญหา ทำให้มองเห็นวิธีการใหม่ๆ และสร้างสรรค์ได้   ซึ่งต่อมาในความจำของเด็กๆ ก็จะมองเห็นรูปที่วาดไว้นั้นทั้งรูป มองเห็นภาพรวม ซึ่งการเห็นภาพรวมนี่เองจะเป็นแนวทางในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ต่อไป

การเริ่มเขียน Mind Map สำหรับเด็กอนุบาล ควรทำอย่างไร ?
อุปกรณ์ที่ต้องใช้มีเพียง กระดาษเปล่าๆ ไม่มีเส้นหรือลาย ดินสอ สีเทียนหรือสีไม้ และจินตนาการของเด็กๆ นั่นเอง
                เริ่มต้นจากการสร้างแรงจูงใจ หมายความว่าพ่อแม่อยากให้ลูกรู้เรื่องอะไร ควรใช้กลยุทธิในการสร้างแจงจูงใจ การให้เด็กสนใจ และควรเลือกเรื่องราวที่ใกล้ตัวเด็ก เช่น บ้าน โรงเรียน การเล่น เป็นต้น จากนั้น พ่อ แม่ลองตั้งโจทย์กับลูกๆ และช่วยกันเขียนดูค่ะ เช่น คุณอาจจะตั้งโจทย์ขึ้นมาว่า ของเล่นแล้วกระตุ้นให้เด็กๆ ลองนึกดูค่ะ ภาพที่พ่อ แม่และลูกเห็นมันคือของเล่นต่างๆที่มีรูปทรงและสีสันแตกต่างกันไป ภาพที่เด็กๆ คิดนั่นแหละค่ะ นำมาจัดกลุ่มของเล่นกลุ่มต่างๆ ได้ จากนั้นนำมาวาดรูปในแผ่นกระดาษเปล่าๆ ก็จะทำให้เด็กๆ สนุกสนานกับการวาดภาพ การใช้เส้น สี     การระบายสีได้อีกด้วยค่ะ
หากยังคิดโจทย์ไม่ได้ ลองถามเด็กๆ ดูซิคะว่าเขาสนใจเรื่องอะไร เขาอยากวาดอะไร จากนั้นพ่อ แม่ก็เพียงกระตุ้นให้เขาเกิดการคิดต่อยอด หรือใช้วิธีทำเป็นตัวอย่างให้เด็กๆ ดู การให้ดูตัวอย่างจากสื่อต่างๆ เหล่านี้ก็จะยิ่งช่วย  กระตุ้นเด็กๆ ให้เขียนได้อย่างมีประสิ ทธิภาพค่ะ

การเริ่มต้นเขียน Mind Map ของน้องมิลค์กี้


 ผู้เขียน (แม่) ใช้วิธีเล่าเรื่องและถามในเรื่องต่างๆ ในบ้านและสิ่งที่เขาเรียนมาจากโรงเรียน จากนั้นก็ต่อยอดความคิดโดยเล่าเรื่องที่เขาเรียนให้ลงรายละเอียดมากขึ้น เช่น เรียนเรื่อง อาหาร ผลไม้ต่างๆ ก็จะให้ข้อมูลเรื่องอาหารหลัก 5 หมู่ และแบ่งประเภทแต่ละหมู่ว่ามีอะไรบ้าง เมื่อลูกสนใจ อยากรู้ก็เล่าเรื่องการเชื่อมโยงด้วยวิธี Mind Map ให้ฟัง พร้อมทั้งให้ดูตัวอย่างที่คนอื่นๆ ทำไว้ซึ่งหาได้ทั่วไปในโลกอินเตอร์เน็ต  จากนั้นชวนลูกมาวาดรูปลงในกระดาษ ซึ่งมิลค์กี้ชอบวาดรูปอยู่แล้ว เลยเป็นเรื่องง่ายที่ไม่ต้องบังคับกัน บทบาทของแม่ก็กระตุ้นให้คิด พูดช้าๆ ซ้ำๆ แล้วให้ลูกวาดภาพระบายสีด้วยตนเอง ผลที่ได้คือลูกเข้าใจเรื่องอาหารหลัก 5 หมู่ และสนุกกับการวาดภาพระบายสี แค่นี้ครั้งแรกแม่ว่าก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว..................

ความร่วมมือในการ กระตุ้นความคิดเชิงเหตุ ผล โดยใช้ Mind Map น้องมิลค์ได้รับการกระตุ้นอีกครั้ง อย่างสม่ำเสมอที่ รร.  ผลงานจากการรวบรวมความคิด การจัดกลุ่ม แยกหมวดหมู่ ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี



วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สร้างสรรค์ จินตนาการด้วยการวาดภาพ ระบายสี



ศิลปะพัฒนาอารมณ์ สมาธิและสติปัญญา
       ช่วงอายุ 5 ขวบ หากมีเวลาว่างหรือวันหยุด กิจกรรมที่ทำมาโดยเสมอๆ คือการวาดภาพระบายสี ฝีมือพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ก็เช่นกัน 21.06.57 หนูวาดภาพตามจินตนาการตามโจทย์ หนูรักแม่  ความตั้งใจบวกกับความถนัด ผลงานออกมาก็เป็นภาพที่สวยงามที่ถ่ายทอดจินตนาการแบบเด็กๆ




วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

แนวทางการเลี้ยงลูกให้ เก่ง ดีและมีความสุข ในยุคสังคมเปลี่ยน

       
           ต้องยอมรับว่าโลกเราทุกวันนี้ มีความซับซ้อนมากขึ้น เด็กๆ เติบโตมากับครอบครัวชุมชน และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป มีโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อโรคอุบัติใหม่มากมาย การสื่อสารไร้พรหมแดน เด็กดำเนินชีวิตในยุคไซเบอร์ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจทำให้พ่อแม่กังวลและเป็นห่วงในการปรับตัวและใช้ชีวิตประจำวันของลูก ยิ่งไปกว่านั้นหลายครอบครัวที่พ่อและแม่ต้องทำงานนอกบ้านทั้งคู่ ทำให้พ่อ แม่ต้องจัดสรรเวลาและเร่งรีบในกิจกรรมประจำวัน บางครอบครัวอาจจะฝากไว้กับคนอื่นหรือสถานรับเลี้ยงเด็กทั่วไป การรีบเร่งเดินทางผ่านการจราจรที่ติดขัด จากสภาพปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้พ่อ แม่ไม่สามารถจัดสรรเวลาที่ได้อยู่กับลูกแบบครอบครัวได้อย่างเต็มที่
           การเป็นพ่อ แม่ในยุคปัจจุบันนี้  หลายท่านอาจเห็นด้วยเป็นเสียงเดียวกันว่าในตอนนี้ เราไม่อาจเลี้ยงลูกในแบบเดียวกับที่เคยถูกพ่อแม่เลี้ยงเรามาเมื่อ สิบหรือยี่สิบปีก่อนอีกแล้ว ท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนไปนี้ สังคมแห่งการแข่งขัน พ่อ แม่ทุกคนอยากเห็นลูกเป็นเด็กเก่ง ดี และมีความสุข 
  • ในด้านความเก่ง การที่เด็กคนหนึ่งคนใดจะมีระดับสติปัญญาดี เฉลียวฉลาด มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ที่สำคัญคือ พันธุกรรมและสภาพแวดล้อมที่ดีนั่นเอง  คำกล่าวที่ว่า พ่อ แม่ เก่ง ลูกก็เก่ง นั่นคือผลจากพันธุกรรม แต่ก็มีเด็กบางคนที่พ่อแม่เก่งแต่เด็กไม่เก่ง อันนั้นต้องพิจารณาจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเด็กด้วย 
  • ในด้านความดี ทุกคนอยากเห็นลูกเป็นคนดี แต่การจะดีหรือไม่ได้ มีปัจจัยหลายประการเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเด็กด้วย
  • มีความสุข เราอยากเห็นลูกๆ มีความสุขในทุกๆ ย่างก้าวของเขาใช่ไหมคะ ความสุขของลูกก็เป็นความสุขของพ่อ แม่ด้วย                                                                                                                            ในบทความนี้ เสนอแนะกลวิธีในการเลี้ยงดูลูกๆ ให้ เก่ง ดี และมีความสุขได้ด้วยมือของผู้เป็นพ่อและแม่กันนะคะ

1. ครอบครัว ให้ความรัก ความอบอุ่นอย่างเพียงพอและเหมาะสม  เป็นข้อแรกและสำคัญที่สุดเพราะความรักจากครอบครัวเป็นหน่วยที่เล็กและละเอียดอ่อนที่สุดที่ลูกสัมผัสได้ ที่สำคัญพ่อ แม่ต้องแสดงออกถึงความรักอย่างเหมาะสม ไม่รักลูกด้วยวัตถุเกินความจำเป็น 
2. การเป็นผู้ฟังที่ดี 
3. สร้างความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง เด็กที่มีความภาคภูมิใจในตนเอง มักมาจากครอบครัวที่อบอุ่น พ่อ แม่ความใช้แรงบวกในกับลูก เช่น เมื่อทำดี ควรชื่นชมอย่างจริงใจ หรือมีรางวัลให้ เมื่อพลาดพลั้งสิ่งใด ควรกำลังใจและชี้แนะแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม
4. ให้โอกาสในการตัดสินใจ ขอบอกว่าการให้โอกาสไม่เหมือนกับการสั่งการ พ่อแม่หลายคนมักติดกับการออกคำสั่ง ให้ทำ หรือหลอกล่อว่า ควรทำ ซึ่งมองเหมือนความหวังดีแต่ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นการปิดกั้นอิสรภาพทางความคิด การจินตนาการของลูก พ่อแม่ควรอณุญาตให้ลูกได้คิด ตัดสินใจด้วยตนเองในเรื่องง่ายๆ บ้างเพื่อส่งเสริมความมั่นใจในตนเองอีกทางหนึ่ง
5. เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูก พฤติกรรมของพ่อ แม่จะถ่ายทอดไปสู่ลูกๆ ทุกวันโดยการใช้ประสาทสัมผัสและเป็นไปโดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่าง เด็กบางคนจะเห็นว่ารักการอ่านหนังสือ นั่นอาจเป็นเพราะว่า พ่อ แม่ชอบอ่าน สะสมหนังสือ หรือการอ่าน/เล่านิทานให้ลูกฟังเป็นประจำ เข้าร้านหนังสือบ่อยๆ ทั้งนี้เด็กมักเลียนแบบพฤติกรรมจากพ่อ แม่ เป็นส่วนใหญ่ 
6. สอนลูกให้รู้จักผ่อนคลายและรักตนเอง สอนให้ลูกเข้าใจว่าการทำดีย่อมส่งผลดีทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น การทำในสิ่งที่ดีหมายถึงการรักตนเองด้วย แต่หากไม่สมหวังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พ่อ แม่ควรแนะนำวิธีการผ่อนคลายความเครียด และสอนให้มองโลกในแง่บวกเสมอ

      จะเห็นได้ว่า การเลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีความสุขนั้น ต้องใช้ศาสตร์และศิลป์กันเลยทีเดียวโดยเฉพาะกับการเลี้ยงลูกในยุคไซเบอร์นี้ คุณพ่อ คุณแม่ ควรส่งเสริมให้ลูกได้ทำกิจกรรมต่างๆด้วยตนเอง การเข้าเรียนตามวัย การปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีความรับผิดชอบ คงไม่ใช่ว่า ต้องสอบได้ที่หนึ่งเท่านั้นจึงประสบสำเร็จได้ ดังคำกล่าวที่ว่า เด็กยุคใหม่ แค่อัจฉริยะไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ขอเป็นกำลังใจให้คุณพ่อ คุณแม่ยุคใหม่ทุกคนนะคะ



วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อายุ 2.9 ขวบ อนุบาล 1 ที่ขอนแก่น

เมื่อถึงวัยที่ต้องเรียนรู้สังคม พ่อ แม่ส่งหนูเข้าเรียนอนุบาลกุลศิริ จ.ขอนแก่น ที่แห่งนี้ทำให้หนูกล้าแสดงออก เรียนรู้ระเบียบวินัย เมื่อกลับขอนแก่นทีไร น้องมิลค์ยังเอ่ยถึงโรงเรียนอยู่เสมอ ความทรงจำดีๆ กับครูคนแรกของหนู ครูซิ้มค่ะ




อยากให้ลูกฉลาด รู้จักคิดด้วยตนเอง ควรทำไงดี?



  • ตั้งแต่ไหนแต่ไร เราเป็นคนชอบอ่านหนังสือ อ่านทุกประเภทยกเว้น ขายหัวเราะเพราะยังงัยก็ไม่ขำ การมีลูกคนนี้ก็อ่านตำรา ถอดวิธีการเลี้ยงลูกจากตำราแทบทุกอย่าง คงเหมือนกับแม่มือใหม่ทั่วๆไปใช่ไหมคะ พอคลอดลูกออกมาแล้วเห็นเขาแข็งแรงก็ดีใจ เลี้ยงจนเติบโตก็มีคุณยายช่วยดูแล พอเริ่มเข้าสู่วัยก่อนเรียน (ทางการเรียกปฐมวัย) ก็คิดต่อว่าทำอย่างไรลูกจะฉลาด เป็นคนดี เอาตัวรอดได้ เอาละทีนี้โจทย์ครั้งนี้ย่อมเป็นหน้าที่ของแม่โดยตรง เราจะวางแผนอย่างไร งานนอกบ้าน งานในบ้าน งานเลี้ยงลูก       ว้าวๆๆๆ ท้าทายสุดๆ 
  • เนื่องจากชอบอ่านหนังสือ เข้าร้านหนังสือ ก็ได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่ง ถูกใจที่สุด ชื่อว่า คุยกับลูกด้วยวิธีชี้แนะดีกว่า (Coaching Conversation) เป็นหนังสือแปล ผู้เขียน โคะมุระซะกิ มะยุมิ แปลโดย อุไรวรรณ จิตเป็นธม คิม ไม่ได้โปรโมทหนังสือนะคะ แต่ชอบด้วยส่วนตัวค่ะ ใจความสรุปที่สำคัญก็คือ ความแตกต่างระหว่างเทคนิคการสอน กับการชี้แนะนั้น เป็นอย่างไร ผู้เป็นพ่อ แม่ควรทำอย่างไรที่จะพัฒนาศักยภาพของลูก ได้ประโยชน์มากมาย จุดประกายกลยุทธ์ของผู้เป็นแม่ได้จริงๆ แต่จะทำได้แค่ไหน แม่คนนี้ก็จะพยายามจ้า.................



วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อายุ 5 ขวบ ความสามารถพิเศษ วาดภาพ ระบายสี

ความสามารถพิเศษ ด้านการวาดรูป ระบายสีตามจินตนาการ แสดงออกได้ชัดเจนเมื่ออายุ 5 ขวบ
จากกิจกรรมที่หนูเป็นตัวแทนห้อง อ. 2/7 ประกวดภาพวาดระบายสี หัวข้อ ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็งในที่สุดรางวัลชนะเลิศก็เป็นของหนูค่ะ ทั้งนี้ได้รับการสนับสนุนที่ดีจากคุณแม่ คุณพ่อ คุณตา คุณยายและผู้ให้ดอกาสครั้งนี้ คุณครูสนิท สอลอ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ







ท่าเต้นน่ารักๆ แบบเด็กๆ เพลง มดแดง



การร้องรำ ทำเพลง แม้อาจไม่ถนัดนักแต่หนูก็ชอบมาก เก็บวิดีโอ เมื่ออายุ 4 ขวบค่ะ

อายุ 4 ขวบ ชั้น อ.1 ที่ จ.ศรีสะเกษ

เมื่อต้องมาอยู่ศรีสะเกษ ตอนอยู่ อ.1 อายุ 4 ขวบ หนูก็ร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆ เป็นดรัมเมเย่อร์น้อย ในงานกีฬาสีของ รร. เก็บภาพเอาไว้ดูจ้ะ




อายุ 3 ขวบเริ่มเรียนอนุบาล

เมื่อหนูอายุ 3 ขวบก็เริ่มเรียนอนุบาล 1 ที่ รร.ล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น เริ่มรู้จักเข้าสังคม กล้าแสดงออก ช่างพูด แบบว่าพูดไม่หยุดเลยก็ว่าได้ คุณพ่อทั้งรักทั้งหลงเลยทีเดียว





พัฒนาการอายุ 1 ขวบ

พัฒนาการแต่ละปีของหนูมิลค์กี้ เมื่อหนูอายุ 1.5 ขวบ เป็นไปตามวัย



เล่าเรื่องของน้องมิลค์กี้ เมื่อหนูเกิดมา ลืมตาดูโลก

เมื่อแรกเกิดปี 2552

หนูกับพี่ฝน ผู้ที่คอยเฝ้าดูหนูตั้งแต่อยู่ในท้องแม่



ป้าภา อุ้มและมองหนูอย่างเอ็นดู